1.ระบบย่อยของระบบสาสนเทศเพื่อการจัดกา
ร(MIS Subsystem) สามารถแบ่งระบบย่อยสารสนเทศเพื่อการจัดการได้ตามหน้าที่ในองค์การเป็น
4ระบบ ดังต่อไปนี้ จงอธิบายแต่ละระบบมาพอเข้าใจพร้อมยกตัวอย่างประกอบ
1.1ระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ (Transaction Processing System)
เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นโดยใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์
โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์เข้ามาเป็นอุปกรณ์หลักของระบบ
เพื่อให้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการภายในองค์กรมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยทีTPS
จะช่วยสนับสนุนให้การดำเนินการในแต่ละวันขององค์กรเป็นไปอย่างเรียบร้อยและเป็นระบบ
นอกจากนี้TPS
ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียกสารสนเทศมาอ้างอิงอย่างสะดวกและถูกต้องในอนาคต
1.2 ระบบจัดทำรายงานสำหรับการจัดการ (Management Reporting System)
เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่อรวบรวม
ประเมินผล จัดระบบ และจัดทำรายงาน หรือเอกสารสำหรับช่วยในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร
เนื่องจากรายงานที่ถูกทำอย่างเป็นระบบช่วยให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพ โดยที่MRS จะจัดทำรายงานหรือเอกสารและส่งต่อไปยังฝ่ายการจัดการตามระยะเวลาที่กำหนด
หรือตามความต้องการของผู้บริหาร
1.3 ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
(Decision Supporting System)
เป็นระบบที่จัดหาหรือจัดเตรียมสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
เพื่อจะช่วยในการตัดสินใจแก้ปัญหาหรือเลือกโอกาสที่เกิดขึ้น
ปกติปัญหาของผู้บริหารจะเป็นลักษณะของกึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้างซึ่งยากต่อการวางแนวทางรองรับหรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคต
DSS จะไม่ทำการตัดสินใจให้กับผู้บริหาร
แต่จะจัดหาและประมวลสาสนเทศหรือสิ่งต่างๆที่คิดว่าจำเป็นในการตัดสินใจให้กับผู้บริหาร
1.4 ระบบสาสนเทศสำนักงาน (Office Information System)
ระบบที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นให้ช่วยการทำงานในสำนักงาน
โดยที่OIS
จะประกอบขึ้นจากเทคโนโลยีสารสนเทศและใช้เทคโนโลยีเครื่องใช้สำนักงานเพื่อเพิ่มผลผลิต
และประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในสำนักงานโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารระหว่างพนักงานภายในองค์การเดียวกัน
และระหว่างองค์การ รวมทั้งการติดต่อกับสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์การ
2.จงเปรียบเทียบระบบ
TPS กับระบบ MIS และDSS
ลักษณะของระบบ
|
ระบบประมวลผลธุรกรรม
(TPS)
|
ระบบสาสนเทศเพื่อการจัดการ (MIS)
|
ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ
(DSS)
|
1.วัตถุประสงค์หลัก
|
ควบคุมการ ปฏิบัติงาน
|
สนับสนุนการบริหาร
|
จัดหาและประมวลสารสนเทศ
|
2.จุดเด่นของระบบ
|
รวบรวมและแสดงกิจกรรม
|
รวบรวม ประมวลผลจัดระบบ จัดทำรายงานหรือเอกสาร
|
จัดเตรียมสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
|
3.ผู้ใช้ระบบ
|
นักปฏิบัติงาน
|
ผู้บริหารระดับกลาง
|
ผู้บริหารระดับสูง
|
4.ชนิดของปัญหา
|
มีโครงสร้าง
|
กึ่งมีโครงสร้าง
|
ไม่มีโครงสร้าง
|
5แหล่งข้อมูล
|
เรียกสารสนเทศมาอ้างอิง
|
ดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล
|
ใช้โมเดมในการวิเคราะห์
|
6.ความคล่องตัวของระบบ
|
สนับสนุนการดำเนินงานในแต่ละส่วน
|
ระบบจะพิมพ์รายงานออกมาตามระยะเวลาที่กำหนดจึงไม่ได้ผลที่ต้องการในทันที
|
OnlineและReiltime
|
3.ความกว้างของเทคโนโลยีสาสนเทศได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีบทบาทสำคัญในด้านต่างๆอย่างกว้างขวางทั้งทางด้านการศึกษา
เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และการบริการสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษาซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้การพัฒนาประเทศเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นในปัจจุบัน
จงอธิบายผลกระทบทางบวกและทางลบของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
ผลกระทบทางบวก
1.
เพิ่มความสะดวกสบายในการสื่อสาร
การบริการและการผลิต ทำให้ชีวิตคนในสังคมได้รับความสะดวกสบาย เช่น
การติดต่อผ่านธนาคารด้วยระบบธนาคารที่บ้าน การทำงานที่บ้าน
ติดต่อสื่อสารด้วยเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
หรือการบันเทิงพักผ่อนด้วยระบบมัลติมีเดียที่บ้าน เป็นต้น
2.
การเกิดสังคมแห่งการสื่อสารและสังคมโลก
เนื่องจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถเอาชนะเรื่องระยะทาง เวลาและสถานที่ได้ด้วยความเร็วในการติดต่อสื่อสารที่เป็นเครือข่ายความเร็วสูง
และที่เป็นเครือข่ายแบบไร้สาย ทำให้มมนุษย์ในแต่ละสังคมสามารถติดต่อถึงกันได้อย่างรวดเร็ว
3.
มีระบบผู้เชี่ยวชาญต่างๆในฐานข้อมูลความรู้
เกิดการพัฒนาคุณภาพชิตในด้านที่เกี่ยวกับสุขภาพและการแพทย์
แพทย์ที่อยู่ในชนบทก็สามารถวินิจฉัยโรคจากฐานข้อมูลความรู้ของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางการแพทย์ในสถาบันแพทย์ที่มีชื่อเสียงได้ทั่วโลก
4.
เทคโนโลยีสารสนเทศสร้างโอกาสให้คนพิการ
หรือผู้ด้อยโอกาสจากการพิการพิการทางร่างกาย
เกิดการสร้างผลิตภัณฑ์ช่วยเหลือคนพิการให้สามารถพัฒนาทักษะและความรู้ได้เพื่อให้คนพิการเหล่านั้นสามารถช่วยเหลือตนเองได้ผู้พิการจึงไม่ถูกทอดทิ้งให้เป้นภาระของสังคม
5.
พัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยเกิดการศึกษาในรูปแบบใหม่
กระตุ้นความสนใจแก่ผู้เรียนโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อการสอน(Computer-Assisted Instruction;CAI)และการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์(Computer-Assisted
Instruction;CAI) ทำให้ผู้เรียนมีความรู้ความWเข้าใจในบทเรียนมากยิ่งขึ้น
ไม่ซ้ำซากจำเจ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ด้วยระบบที่เป็นมัลติมีเดีย
นอกจากนี้ยังมีบทบาทต่อการนำไปใช้สอนทางไกล(Distance Learning)เพื่อผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา
6.
การทำงานเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
กล่าวคือ ช่วยลดเวลาในการทำงานให้น้อยลงแต่ได้ผลผลิตมากขึ้น เช่น
การใช้โปรแกรมประมวมลผลคำ(Word Processing)เพื่อช่วยในการพิมพ์เอกสาร
การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบงานลักษณะต่างๆ
7.
ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการบริโภคสินค้าที่มีความหลากหลาย
และมีคุณภาพดีขึ้น
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้รูปแบบของผลิตภัณฑ์มีความแปลกใหม่และมีความหลากหลายากขึ้นผู้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ
ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าได้ตามความต้องการ และช่องทางทางการค้าก็มีให้เลือกมากยิ่งขึ้น
เช่น การเลือกซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต และการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ผลกระทบทางลบ
1.
ก่อให้เกิดความเครียดขึ้นสังคม เนื่องจากมนุษย์ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
เคยทำอะไรอยู่ก็มักจะทำอยู่อย่างนั้น แต่เทคโนโลยีสาสนเทศเข้าไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ
บุคคล วิถีการดำเนินชีวิต แลการทำงาน
ผู้ที่รับต่อการเปลี่ยนแปลงไม่ได้จึงเกิดความวิตกกังวลขึ้นจนกลายเป็นความเครียดกลัวว่าคอมพิวเตอร์จะทำให้คนตกงาน
2.
ก่อให้เกิดการรับวัฒนธรรมหรือแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของคนในสังคมโลก
การแพร่ของวัฒนธรรมจากวังคมหนึ่งไปยังอีกสังคมหนึ่ง
เป็นการสร้างค่านิยมใหม่ให้กับสังคมรับวัฒนธรรมนั้น
ซึ่งอาจก่อให้เกิดค่านิยมที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นในสังคมนั้น เช่น
พฤติกรรมที่แสดงออกทางค่านิยมของเยาวชนด้านการแต่งกายและการบริโภค
การมอมเมาเยาวชนในรูปของเมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
3.
ก่อให้เกิดผลด้านศีลธรรม
เนื่องจากแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกันทั้งในด้านจารีตประเพณีและศีลธรรม แต่การติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วในระบบเครือข่ายนั้น
เมือมีการแพร่ภาพหรือข้อมูลข่าวสารที่ไมดีไปยังประเทศต่างๆ
จะมีผลกระทบต่อความรู้สึกของคนในประเทศนั้นๆ
ทำให้เยาวชนสับสนต่อค่านิยมที่ดีงามดั่งเดิม
4.
การมีส่วนร่วมของคนในสังคมลดน้อยลง
กิจกรรมทางสังคมที่มีการพบปะสังสรรค์ก็จะมีน้อยลง สังคมเริ่มห่างเหินจากกัน
เนื่องจากการใช้เทคโนโลยีสื่อสารทางไกลทำให้ทำงานอยู่ที่บ้านหรือเกิดการศึกษาทางไกลทำให้ไม่ต้องเดินทาง
5.
การละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างไม่มีขีดจำกัดย่อมส่งผลต่อการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
และการนนำเอาข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวกับบุคคลอื่นออกเผยแพร่ต่อสาธารณชน
ซึ่งข้อมูลบางอย่างอาจไม่เป็นจริงหรือยังไม่ได้พิสูจน์ความถูกต้อง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล
โดยบุคคลนั้นไม่สามารถป้องกันได้
6.
เกิดช่องว่างทางสังคม
การใช้เทคโนโลยีสารนเทศจะเกี่ยวข้องกับการลงทุนผู้ใช้จึงเป็นชนชั้นในอีกระดับหนึ่งของสังคม
ในขณะที่ชนชั้นระดับรองลงมามีอยู่จำนวนมากกลับไม่มีโอกาสใช้ และผู้ที่ยากจนก็ไม่มีโอกาสรู้จักเทคโนโลยีสารสนเทศ
ทำให้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศไม่กระจายตัวเท่าที่ควร
7.
เกิดการต่อต้านเทคโนโลยี
เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทต่อการใช้งานมากขึ้นในด้านต่างๆ เช่น
ด้านการศึกษา การสาธารณสุข เศรษฐกิจทางการค้า และธุรกิจอุตสาหกรรม
รวมถึงกิจกรรมการดดำเนินชีวิตในด้านต่างๆโดยส่วนมากยังขาดความรู้ในเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศเครือข่ายและคอมพิวเตอร์
โดยเฉพาะในด้านการทำงานคนที่ทำงานด้วยวิธีเก่าๆก็เกิดการต่อต้านเทคโนโลยีเข้ามาใช้เกิดความรู้สึกหวาดระแวงและวิตกกังวล
เกรงกลัวว่าตนเองด้อยประสิทธิภาพจึงเกิดภาวะของความรู้สึกต่อต้านกลัวสูญเสียคุณค่าชีวิตของการทำงาน
8.
อาชญากรรมบนเครือข่าย
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดปัญหาใหม่ๆขึ้น
เช่น ปัญหาอาชญากรรม ตัวอย่างเช่น อาชญากรรมในรูปของการขโมยความลับ
การขโมยข้อมูลสารสนเทศ การให้บริการสารสนเทศที่มีการหลอกลวง รวมถึงการบ่อนทำลายข้อมูลที่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างในระบบเครือข่าย
9.
ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ
การจ้องมองคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆมีผลเสียต่อสายตา ซึ่งทำให้สายตาผิดปกติ
มีอาการแสบตา เวียนศีรษะ นอกจากนั้นยังมีผลต่อสุขภาพจิตเกิดโรคทางจิตประสาท
เช่นโรคคลั่งอินเทอร์เน็ต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น