ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

แบบฝึกหัดหลังเรียน


1.ระบบย่อยของระบบสาสนเทศเพื่อการจัดกา ร(MIS Subsystem) สามารถแบ่งระบบย่อยสารสนเทศเพื่อการจัดการได้ตามหน้าที่ในองค์การเป็น 4ระบบ ดังต่อไปนี้ จงอธิบายแต่ละระบบมาพอเข้าใจพร้อมยกตัวอย่างประกอบ
        1.1ระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ (Transaction Processing System)
              เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นโดยใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์   โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์เข้ามาเป็นอุปกรณ์หลักของระบบ  เพื่อให้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการภายในองค์กรมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล  โดยทีTPS จะช่วยสนับสนุนให้การดำเนินการในแต่ละวันขององค์กรเป็นไปอย่างเรียบร้อยและเป็นระบบ นอกจากนี้TPS ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียกสารสนเทศมาอ้างอิงอย่างสะดวกและถูกต้องในอนาคต
        1.2 ระบบจัดทำรายงานสำหรับการจัดการ (Management Reporting System)
               เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่อรวบรวม ประเมินผล จัดระบบ และจัดทำรายงาน หรือเอกสารสำหรับช่วยในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร เนื่องจากรายงานที่ถูกทำอย่างเป็นระบบช่วยให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพ โดยที่MRS จะจัดทำรายงานหรือเอกสารและส่งต่อไปยังฝ่ายการจัดการตามระยะเวลาที่กำหนด หรือตามความต้องการของผู้บริหาร
        1.3 ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Supporting System)
              เป็นระบบที่จัดหาหรือจัดเตรียมสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร เพื่อจะช่วยในการตัดสินใจแก้ปัญหาหรือเลือกโอกาสที่เกิดขึ้น ปกติปัญหาของผู้บริหารจะเป็นลักษณะของกึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้างซึ่งยากต่อการวางแนวทางรองรับหรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคต DSS จะไม่ทำการตัดสินใจให้กับผู้บริหาร แต่จะจัดหาและประมวลสาสนเทศหรือสิ่งต่างๆที่คิดว่าจำเป็นในการตัดสินใจให้กับผู้บริหาร
         1.4 ระบบสาสนเทศสำนักงาน (Office Information System)
                ระบบที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นให้ช่วยการทำงานในสำนักงาน โดยที่OIS จะประกอบขึ้นจากเทคโนโลยีสารสนเทศและใช้เทคโนโลยีเครื่องใช้สำนักงานเพื่อเพิ่มผลผลิต และประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในสำนักงานโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารระหว่างพนักงานภายในองค์การเดียวกัน และระหว่างองค์การ รวมทั้งการติดต่อกับสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์การ
2.จงเปรียบเทียบระบบ TPS กับระบบ MIS และDSS


ลักษณะของระบบ

ระบบประมวลผลธุรกรรม 

              (TPS)

 

ระบบสาสนเทศเพื่อการจัดการ (MIS)

 ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ         

            (DSS)                                           

1.วัตถุประสงค์หลัก

ควบคุมการ   ปฏิบัติงาน

สนับสนุนการบริหาร

จัดหาและประมวลสารสนเทศ

2.จุดเด่นของระบบ

รวบรวมและแสดงกิจกรรม

รวบรวม ประมวลผลจัดระบบ จัดทำรายงานหรือเอกสาร

จัดเตรียมสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร

3.ผู้ใช้ระบบ

นักปฏิบัติงาน

ผู้บริหารระดับกลาง

ผู้บริหารระดับสูง

4.ชนิดของปัญหา

มีโครงสร้าง

กึ่งมีโครงสร้าง

ไม่มีโครงสร้าง

5แหล่งข้อมูล

เรียกสารสนเทศมาอ้างอิง

ดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล

ใช้โมเดมในการวิเคราะห์

6.ความคล่องตัวของระบบ

สนับสนุนการดำเนินงานในแต่ละส่วน

ระบบจะพิมพ์รายงานออกมาตามระยะเวลาที่กำหนดจึงไม่ได้ผลที่ต้องการในทันที

OnlineและReiltime


3.ความกว้างของเทคโนโลยีสาสนเทศได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีบทบาทสำคัญในด้านต่างๆอย่างกว้างขวางทั้งทางด้านการศึกษา เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และการบริการสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษาซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้การพัฒนาประเทศเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นในปัจจุบัน จงอธิบายผลกระทบทางบวกและทางลบของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
ผลกระทบทางบวก
1.            เพิ่มความสะดวกสบายในการสื่อสาร การบริการและการผลิต ทำให้ชีวิตคนในสังคมได้รับความสะดวกสบาย เช่น การติดต่อผ่านธนาคารด้วยระบบธนาคารที่บ้าน การทำงานที่บ้าน ติดต่อสื่อสารด้วยเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือการบันเทิงพักผ่อนด้วยระบบมัลติมีเดียที่บ้าน เป็นต้น

2.             การเกิดสังคมแห่งการสื่อสารและสังคมโลก เนื่องจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถเอาชนะเรื่องระยะทาง เวลาและสถานที่ได้ด้วยความเร็วในการติดต่อสื่อสารที่เป็นเครือข่ายความเร็วสูง และที่เป็นเครือข่ายแบบไร้สาย ทำให้มมนุษย์ในแต่ละสังคมสามารถติดต่อถึงกันได้อย่างรวดเร็ว

3.             มีระบบผู้เชี่ยวชาญต่างๆในฐานข้อมูลความรู้ เกิดการพัฒนาคุณภาพชิตในด้านที่เกี่ยวกับสุขภาพและการแพทย์ แพทย์ที่อยู่ในชนบทก็สามารถวินิจฉัยโรคจากฐานข้อมูลความรู้ของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางการแพทย์ในสถาบันแพทย์ที่มีชื่อเสียงได้ทั่วโลก

4.             เทคโนโลยีสารสนเทศสร้างโอกาสให้คนพิการ หรือผู้ด้อยโอกาสจากการพิการพิการทางร่างกาย เกิดการสร้างผลิตภัณฑ์ช่วยเหลือคนพิการให้สามารถพัฒนาทักษะและความรู้ได้เพื่อให้คนพิการเหล่านั้นสามารถช่วยเหลือตนเองได้ผู้พิการจึงไม่ถูกทอดทิ้งให้เป้นภาระของสังคม

5.             พัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยเกิดการศึกษาในรูปแบบใหม่ กระตุ้นความสนใจแก่ผู้เรียนโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อการสอน(Computer-Assisted Instruction;CAI)และการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์(Computer-Assisted Instruction;CAI) ทำให้ผู้เรียนมีความรู้ความWเข้าใจในบทเรียนมากยิ่งขึ้น ไม่ซ้ำซากจำเจ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ด้วยระบบที่เป็นมัลติมีเดีย นอกจากนี้ยังมีบทบาทต่อการนำไปใช้สอนทางไกล(Distance Learning)เพื่อผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา

6.             การทำงานเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น กล่าวคือ ช่วยลดเวลาในการทำงานให้น้อยลงแต่ได้ผลผลิตมากขึ้น เช่น การใช้โปรแกรมประมวมลผลคำ(Word Processing)เพื่อช่วยในการพิมพ์เอกสาร การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบงานลักษณะต่างๆ

7.             ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการบริโภคสินค้าที่มีความหลากหลาย และมีคุณภาพดีขึ้น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้รูปแบบของผลิตภัณฑ์มีความแปลกใหม่และมีความหลากหลายากขึ้นผู้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าได้ตามความต้องการ และช่องทางทางการค้าก็มีให้เลือกมากยิ่งขึ้น เช่น การเลือกซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต และการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ผลกระทบทางลบ
1.             ก่อให้เกิดความเครียดขึ้นสังคม  เนื่องจากมนุษย์ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เคยทำอะไรอยู่ก็มักจะทำอยู่อย่างนั้น แต่เทคโนโลยีสาสนเทศเข้าไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ บุคคล วิถีการดำเนินชีวิต แลการทำงาน ผู้ที่รับต่อการเปลี่ยนแปลงไม่ได้จึงเกิดความวิตกกังวลขึ้นจนกลายเป็นความเครียดกลัวว่าคอมพิวเตอร์จะทำให้คนตกงาน
 
2.             ก่อให้เกิดการรับวัฒนธรรมหรือแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของคนในสังคมโลก การแพร่ของวัฒนธรรมจากวังคมหนึ่งไปยังอีกสังคมหนึ่ง เป็นการสร้างค่านิยมใหม่ให้กับสังคมรับวัฒนธรรมนั้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดค่านิยมที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นในสังคมนั้น เช่น พฤติกรรมที่แสดงออกทางค่านิยมของเยาวชนด้านการแต่งกายและการบริโภค การมอมเมาเยาวชนในรูปของเมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

3.             ก่อให้เกิดผลด้านศีลธรรม เนื่องจากแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกันทั้งในด้านจารีตประเพณีและศีลธรรม แต่การติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วในระบบเครือข่ายนั้น เมือมีการแพร่ภาพหรือข้อมูลข่าวสารที่ไมดีไปยังประเทศต่างๆ จะมีผลกระทบต่อความรู้สึกของคนในประเทศนั้นๆ ทำให้เยาวชนสับสนต่อค่านิยมที่ดีงามดั่งเดิม

4.             การมีส่วนร่วมของคนในสังคมลดน้อยลง กิจกรรมทางสังคมที่มีการพบปะสังสรรค์ก็จะมีน้อยลง สังคมเริ่มห่างเหินจากกัน เนื่องจากการใช้เทคโนโลยีสื่อสารทางไกลทำให้ทำงานอยู่ที่บ้านหรือเกิดการศึกษาทางไกลทำให้ไม่ต้องเดินทาง

5.             การละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างไม่มีขีดจำกัดย่อมส่งผลต่อการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และการนนำเอาข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวกับบุคคลอื่นออกเผยแพร่ต่อสาธารณชน ซึ่งข้อมูลบางอย่างอาจไม่เป็นจริงหรือยังไม่ได้พิสูจน์ความถูกต้อง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคล โดยบุคคลนั้นไม่สามารถป้องกันได้

6.             เกิดช่องว่างทางสังคม การใช้เทคโนโลยีสารนเทศจะเกี่ยวข้องกับการลงทุนผู้ใช้จึงเป็นชนชั้นในอีกระดับหนึ่งของสังคม ในขณะที่ชนชั้นระดับรองลงมามีอยู่จำนวนมากกลับไม่มีโอกาสใช้ และผู้ที่ยากจนก็ไม่มีโอกาสรู้จักเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศไม่กระจายตัวเท่าที่ควร

7.             เกิดการต่อต้านเทคโนโลยี เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทต่อการใช้งานมากขึ้นในด้านต่างๆ เช่น ด้านการศึกษา การสาธารณสุข เศรษฐกิจทางการค้า และธุรกิจอุตสาหกรรม รวมถึงกิจกรรมการดดำเนินชีวิตในด้านต่างๆโดยส่วนมากยังขาดความรู้ในเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศเครือข่ายและคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะในด้านการทำงานคนที่ทำงานด้วยวิธีเก่าๆก็เกิดการต่อต้านเทคโนโลยีเข้ามาใช้เกิดความรู้สึกหวาดระแวงและวิตกกังวล เกรงกลัวว่าตนเองด้อยประสิทธิภาพจึงเกิดภาวะของความรู้สึกต่อต้านกลัวสูญเสียคุณค่าชีวิตของการทำงาน

8.             อาชญากรรมบนเครือข่าย  ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดปัญหาใหม่ๆขึ้น เช่น ปัญหาอาชญากรรม ตัวอย่างเช่น อาชญากรรมในรูปของการขโมยความลับ การขโมยข้อมูลสารสนเทศ การให้บริการสารสนเทศที่มีการหลอกลวง รวมถึงการบ่อนทำลายข้อมูลที่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างในระบบเครือข่าย

9.             ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ การจ้องมองคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆมีผลเสียต่อสายตา ซึ่งทำให้สายตาผิดปกติ มีอาการแสบตา เวียนศีรษะ นอกจากนั้นยังมีผลต่อสุขภาพจิตเกิดโรคทางจิตประสาท เช่นโรคคลั่งอินเทอร์เน็ต

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น